วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

การจัดสวนไทย

ลักษณะเฉพาะของสวนไทยที่มีมาแต่อดีต อาจจะกล่าวโดยสังเขปได้ดังนี้

• พันธุ์ไม้ที่เอามาปลูกในสวนไทย มิใช่จะมีแต่ดอกเพียงอย่างเดียว หากมีไม้ผลนำมาปลูกรวมอยู่ด้วย ทั้งนี้ เพราะว่าคนไทยเห็นความสำคัญของไม้ผลว่าเป็นพืชทางเศรษฐกิจมาช้านานแล้ว
• ในอดีต พระเจ้าแผ่นดิน และพระมหาอุปราชเท่านั้นที่จะมีอุทยานหรือสวนขนาดใหญ่ สวนเหล่านั้นมักนิยมสร้างอยู่นอกกำแพงวัง หรือไม่ก็นอกกำแพงเมือง และมักจะมีลักษณะเป็นสวนธรรมชาติเกือบทั้งสิ้น สวนดังกล่าวนี้ถูกกำหนดเป็นเขตหวงห้าม มีผู้ดูแลสวนเป็นยามเฝ้าสวนไปในตัว
• สวนที่ใช้เป็นส่วนประกอบของสถาปัตยกรรมถาวร มักจะเป็นสวนไม้ดัด และไม้กระถาง เป็นส่วนใหญ่ สวนเหล่านี้มักมีอยู่ในพระราชวัง วัง และพระอารามใหญ่ต่างๆสวนภูเขาจำลองชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่าเขามอนั้น ก็มีอยู่แต่ในพระราชวัง วัง และตามพระอารามต่างๆ เช่นกัน เพราะถือเป็นธรรมเนียมว่าสวนชนิดนี้ จะไม่ทำในบ้านเรือนของสามัญชน เว้นแต่ในสถานที่ของผู้มีบุญบารมี และตามวัดวาอารามเท่านั้น
• สวนสมุนไพร หากจะมีก็คงมีตามวัด โดยพระภิกษุผู้มีความรู้เป็นหมอยาได้สร้างขึ้น เพื่อนำสมุนไพรมาประกอบเป็นโอสถชนิดต่างๆ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา คนไทยเราต้องทำสงครามกับพม่า และบางครั้งก็ต้องต่อสู้กันเองเพื่อช่วงชิงอำนาจ ดังนั้นการปลูกว่านชนิดต่างๆ เพื่อนำมาใช้ในทางคงกระพัน จึงได้มีขึ้นตามสำนักผู้ทรงวิทยาคม ซึ่งกล่าวกันว่า การปลูกว่านนิยมปลูกตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น • การสร้างสวนน้ำ ด้วยความจงใจให้มีขึ้น หาได้ยากมักจะเป็นสระ ตระพัง คู คลอง เพื่อจะได้น้ำจืดไว้ใช้ ต่อมาภายหลังเมื่อมีการนำบัวพันธุ์ต่างๆ ไปปลูกแหล่งน้ำนั้นจึงกลายเป็นสวนน้ำไปโดยปริยาย
• ในสมันก่อน เจ้านาย ขุนนาง ตลอดจนสามัญชน จะมีเรือนไม้เป็นที่อยู่อาศัย ขนาดของเรือนจะใหญ่โตโอ่อ่าเพียงใด ก็ขึ้นกับอำนาจวาสนา และกำลังทรัพย์ แต่อย่างไรก็ตาม เรือนไทยส่วนใหญ่จะมีนอกชานเป็นลานโล่ง และลานโล่งนี้จะได้รับการตกแต่งให้เป็นสวนกระถาง ปลูกพันธุ์ไม้ต่างๆ ตั้งเรียงรายอยู่ภายนอกชายคาและใต้ชายคา
• ในอดีต สวนที่สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นสวนสาธารณะอย่างแท้จริงแทบไม่ปรากฏ เพราะสมัยก่อนจำนวนคนที่อยู่ในเมืองยังน้อยอยู่ และไม่ได้อยู่กันอย่างแออัด ถ้าเขาต้องการพื้นที่โล่งแจ้งอันกว้างขวางเพื่อใช้พักผ่อนหย่อนใจ หรือมีการเล่นอย่างสนุกสนาน ที่ดีที่สุดคือท้องทุ่งนอกกำแพงเมืองโดยรอบ

ลักษณะเด่นของสวนไทยที่สำคัญคือสวนไม้ดัด

เรื่อง ราวของสวนไม้ดัดและสวนไม้ญี่ปุ่น ก็มีความสำคัญอยู่มิใช่น้อย กล่าวกันว่า คือไทยนิยมใช้ไม้ดัดกันมานานแล้ว นับตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา การเล่นไม้ดัดซึ่งถือว่าเป็นงานอดิเรกนั้น ได้เริ่มขึ้นมาจากพระภิกษุสงฆ์ตามพระอารามก่อน แล้วแพร่หลายเข้าไปในรั้วในวังเจ้านาย และตามบ้านราษฎรทั่วไปที่มีฐานะดี ในรัชกาลที่ 2 การเล่นไม้ดัดและไม้ญี่ปุ่นเป็นไปอย่างเฟืองฟูมาก เรื่อยลงมาจนถึงขุนนางและสามัญชนผู้มีอันจะกิน จ่างพากันสนใจเล่นไม้ดัดและไม้ญี่ปุ่นกันอย่างกว้างขวาง ความนิยมนี้ได้มีล่วงเลยมาจนถึงรัชกาลที่ 3 ซึ่งปรากฏว่า รัชกาลที่ 3 ทรงถือไม้ดัดเป็นงานอดิเรกของพระองค์

สวนนอกชานเรือนบ้าน
จะ ประดับตกแต่งด้วยไม่พรรณต่างๆ ซึ่งปลูกไว้ในกระถาง อันมีไม้ดอกชนิดต่างๆ เช่น แก้ว จำปี จำปา สายหยุด ซ่อนกลิ่น ลำดวน มะลิซ้อน ยี่สุ่น กุหลาบ นมสวรรค์ ซึ่งมีดอกเป็นช่อสีแดง ไม้เล็กหรือไม้ย่อมเหล่านี้จะปลูกไว้ในกระถางขนาดเล็ก ส่วนไม้ใหญ่เช่น เกด แทงทวย อิน พิกุล มะขาม ฯลฯ ก็จะนำต้นที่ยังไม่โต มาบังคับปลูกในกระถางที่มีขนาดเขื่องกว่า สำหรับไม้เถาที่มีดอกหอมก็จะลงกระถางปลูกไว้ด้านหลังของหอนั่งหรือไม่ก็ริม ชาน ให้มันเลื้อยขึ้นไปข้างบนรั้ว ออกดอกส่งกลิ่นหอมบางๆในตอนกลางคืน ไม้ผลก็จะมีปลูกบ้างเช่น ทับทิม จะตั้งไว้ในทีที่รับแดดเสมอ นอกจากก็มีพวกไม้ดัด เช่น ตะโก มะสัง ตะขบ ข่อย ซึ่งดัดเป็นแบบต่างๆ อย่างน่าดู ปลูกกระถาง เช่นกัน กระถางที่ใช้ปลูกของบ้าน คิดว่าต้องเป็นกระถางเคลือบสีลายคราม และกระถางดินเผาเหล่านี้ ได้รับการเผาเคลือบอย่างดี ทั้งนี้เพื่อแสดงฐานะอันมั่นคง ส่วนอ่างปลูกบัวหรือเลี้ยงปลา ก็จัดว่าได้รับการตกแต่งอย่างดี ที่ช่วยให้แสดงความน่าชื่นชม มีทั้งอ่างกลมและอ่างรูปรีที่สั่งมาจากเมืองจีน ตั้งเรียงกันเป็นหมดหมู่เป็นพวก หรือไม้ก็สลับกันไป อย่างเป็นระเบียบรอบๆ ชานทั้งภายนอก และชายใต้ชายคา การอธิบายถึงพรรณไม้ต่างๆ ในบริเวณบ้านไทยสมัยโบราณ จะขอเริ่มจาก บริเวณบ้านที่ใกล้กับตัวเรือนก่อน บริเวณเหล่านี้ คนไทยสมัยก่อนจะถือเคล็ดการปลูกต้นไม้เป็นอย่างมาก ซึ่งเชื่อกันว่า ทิศทั้ง 8 แต่ละทิศ ถ้าปลูกต้นไม้ตามชนิดที่บรรพบุรุษได้กำหนดไว้ ก็จะนำความสุขความสมบูรณ์พูลสุขแก่คนที่อาศัยอยู่บนเรือนนั้น คนไทยโบราณได้กล่าวไว้ดังนี้


ผิวจะกล่าวภูมิหมู่ไม ปลูกไสวล้อมเคหา
ปลูกได้โดยทิศา เจริญชื่นทุกคือวัน
ไม้กุ่มและสีสุก หมดสิ่งทุกข์สำราญครัน
อาจารย์ท่านสารสรรค์ ให้ปลูกไว้ในหนบูรพ์
กระทิงยอสารภี สามสิ่งนี้อย่าให้สูญ
ปลูกไว้บริบูรณ์ พูนเพิ่มทิศอาคเนย์
ตะโกพลับมะม่วง ลูกเป็นพวงไม่เกเร
ปลูกไว้อย่างไขว้เขว คะเนแน่นแดนทักษิณ
สะเดาและพิกุล อีกทั้งคูณเป็นอาจิณ
ราชพฤกษ์เร่งถวิล หามาปลูหรดี
พุทราอีมะยม ลูกอุดมเป็นสุขี
มะขมชมไพรี ให้ปลูกไว้ประจิมนา
มะงั่วมะนาวพูด และมะกรูดกิ่งสาขา
เป็นเครื่องสระเกษา ให้ปลูกไว้หนพายัพ
ส้มซ่าและส้มป่อย ปลูกไว้หน่อยจะมีทรัพย์
มะเดื่อปลูกสัมทับ ประจำทิศทางอุดร
มะตูมและไม้รวก สองสิ่งนี้สถาพร
อาจารย์ท่านสั่งสอน ให้ปลูกไว้ทิศอีส่าน

ส่วนต้นไม้ที่คนโบราณห้ามปลูกไว้ใกล้ตัวเรือน หรือแม้แต่มีไว้มีบริเวณบ้านก็ไม่สู้ดี ท่านแนะไว้ดังนี้

จะกล่าวพันธุ์หมู่ไม้ ไว้ให้ไกลเคหะสถาน
โพธิ์ไทรยูงยางตาล ทั้งมะกอกและหว้าแค
สำโรงสลัดได ไม้งิ้วง้าวอย่าเหลียวแล
อยู่ใกล้ไม่ดีแน่ โบราณห้ามไว้หนักหนา
เหล่านี้มีอยู่ใกล ถ้าเงาไม้ทับเคหา
จะลำบากยากกายา ลูกหนีหน้าเมียจากไกล
ขุดขึ้นเสียให้สิ้น อย่าดูหมิ่นจะมีภัย
จึงจะสบายใจ เป็นสุขาทุกราตรี

การที่คนโบราณห้ามปลูกต้นไม้เหล่านี้ไว้ใกล้ครัวเรือน และแนะว่าไม่ควรแม้แต่จะมีไว้ในบริเวณบ้าน ทั้งนี้ด้วยเหตุผลอันแท้จริง 5 ประการคือ
ประการแรก
ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นยาง ต้นตาล ต้นหว้า ต้นงิ้ว ล้วนเป็นไม้ยืนต้นสูงใหญ่ หากถูกพายุก็อาจจะหักโค่นลงมาทับตัวเรือน ทำให้เกิดความเสียหายได้
ประการที่สอง เมือมีต้นไม้สูงใหญ่ดังกล่าวนี้ ก็มักจะมีนกขนาดใหญ่บินมาเกาะ ถ้าแร้งบินมาเกาะก็ถือกันว่าเป็นอัปมงคล
ประการที่สาม ไม่ เหล่านี้มักมีอยู่ตามป่าตามทุ่ง ซึ่งไม่ไกลจากหมู่บ้านอยู่แล้ว หากจำเป็นจะต้องใช้ประโยชน์จากมัน ไม่ว่าจะเป็น ใบ ดอก ผล เปลือกลำต้น ก็จะไปหาเอามาได้ไม่ยากนัก และที่ดินในบริเวณบ้านนั้น ก็จะควรสงวนไว้ปลูกไม้ ที่มีประโยชน์ทางเศรษฐกิจ มากกว่าจะมีต้นไม้เหล่านี้ขึ้นอยู่
ประการที่สี่
ต้นไม้ บางชนิดเช่น ต้นโพธิ์ ต้นไทร และต้นหว้า เป้ต้นไม้สำคัญในพระพุทธประวัติ คนไทยถือว่าไม้เหล่านี้ควรจะมีอยู่ตามวัดวาอาราม มากกว่าตามบ้านผู้คน
ประการสุดท้าย
ไม้ บางชนิดเช่นต้นงิ้ว มีลำต้นกิ่งก้านใบเต็มไปด้วยหนาม ต้นสลัดได ซึ่งเป็นไม้จำพวกกระบองเพชร ขึ้นเป็นกอใหญ่ ก็มีลำต้นเต็มไปด้วยหนามเช่นกัน ส่วนต้นสำโรงนั้นในเวลามีดอก ดอกของมันจะส่งกลิ่นเหม็นไม่พึงปรารถนา ฉะนั้น จึงไม่เหมาะที่จะมีไม้เหล่านี้ในบริเวณบ้าน

การปลูกต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่บริเวณบ้านก็ได้กล่าวไปแล้ว จะขอกล่าวถึงการปลูกไม้ขนาดกลางและขนาดเล็กไว้ สำหรับเอาลูกเอาผลและประดับประดาบริเวณบ้านไว้ให้สวยงาม ไม้ผลยืนต้นขนาดกลางและขนาดย่อมที่นิยมปลูกกันตามลานบ้านได้แก่ มะม่วงพันธุ์ต่างๆ เช่นอกร่อง พิมเสน พราหมณ์ขายเมีย ฯลฯ ชมพู่พันธุ์ต่างๆเช่น ชมพู่ขาว เขียว สีนาก ชมพู่น้ำดอกไม้ ชมพู่สาแหรก ชมพู่มาเหมี่ยว นอกจากนี้ก็มีละมุด ขนุน ลำไย ต้นไม้เหล่านี้จะให้ร่มเงาเป็นอย่างดีในวันที่มีแสงแดดจ้า ตามโคนต้นไม้บางต้นจึงมักมีแคร่ไว้ ใช้เป็นที่นั่งนอนพักผ่อนและเป็นที่นั่งเล่นของเด็กๆ ยังมีต้นไม้อีกบางชนิดที่ชอบปลูกไว้ เพื่อใช้ ใบ ดอก และผลของมันประกอบอาหาร เช่น ต้นยอ สะเดา มะกรูด มะนาว มะยม มะดัน ฯลฯ ไม้ที่ว่านี้มักจะมีไม่มากนัก เพียงบ้านละต้นสองต้นเท่านั้น สำหรับไม้ดอกไม้ใบขนาดเล็ก ทั้งที่ปลูกใส่กระถางและปลูกลงดินก็มีมะลิ พุด นางแย้ม ประยงค์ หงอนไก่ ดาวเรือง บานเย็น บานไม่รู้โรย ชบา เข็ม หมากผู้ หมากเมีย ว่านชนิดต่างๆ ฯลฯ ไม้ดอกและไม้ใบชนิดที่เป็นไม้ล้มลุกแลไม้กอ ซึ่งมักจะปลูกไว้ใกล้กับบันไดเรือน และริมทางเดินหน้าบ้านจะออกดอกออกใบสลับสีกันอย่างละลานตา ส่วนไม้ดอกชนิดที่เป็นไม้พุ่ม ซึ่งมักปลูกไว้รอบตังเรือนและริมทางเดินหน้าบ้านเช่นกัน ก็จะผลิดอกออกช่อเป็นที่น่าทัศนา ดังที่กวีได้กล่าวไว้ว่า “ ปลูกต้นไม้พุ่มชอุ่มตา เบิกบานบุษบาอรชร ” ยังมีไม้ดอกอีกชนิดหนึ่งคือราตรี มักจะไม่ปลูกไว้บนนอกชานเรือน เพราะดอกของมันซึ่งบานในเวลากลางคืนจะส่งกลิ่นหอมจัด จนบางคนไม่สามารถจะทนได้ ฉะนั้นจึงชอบที่จะปลูกไม้ชนิดนี้ไว้ตามพื้นดิน ห่างจากตัวเรือนพอสมควร เพื่อให้กลิ่นหอมของมันระรวยมาตามลม ไม้ดอกไม้ใบเหล่านั้นซึ่งจัดเป็นพวกไม้ประดับจะปลูกไว้บางชนิดและจะขึ้นงอก งามมากหรือน้อยนั้นก็มักขึ้นอยู่กับตัวเจ้าของบ้านว่าจะเป็นผู้รักต้นไม้ ดอกไม้มากน้อยเพียงใด บางบ้านอาจจะมีสระน้ำ ซึ่งไม่อยู่ห่างไกลจากตัวเรือนนักเพื่อใช้อาบใช้กิน ตามริมสระก็มักจะปลูกไม้กอซึ่งชอบขึ้นตามชายน้ำ เช่น ลำเจียกซึ่งทีดอกโต กลิ่นหอมเย็นพลับพลึง ซึ่งออกดอกเป็นช่อใหญ่มีทั้งสีขาวและสีแดงอมม่วง ปริกซึ่งมีใบเป็นฝอย ดอกสีขาว เกสรสีเหลืองแสด มีกลิ่นหอม เตยซึ่งมีใบเขียวเกลี้ยงเป็นมันมีกลิ่นหอมและกระจับซึ่งมีฝักและเปลือกสีดำ เนื้อในสีขาวมีรสหวานมันน่ากิน ในสระน้ำก็จะมีบัวชนิดต่างๆปลูกไว้อย่างงดงาม ถ้าบ้านใดมีบริเวณติดลำคลอง ตามชายน้ำก็จะมีพุทธรักษาไทยปลูกไว้เพื่อกันตลิ่งพัง ซึ่งจะอวดสีสันต่างๆกัยอย่างน่าดู ส่วนริมคลองที่ติดกับส่วนต่างๆของบ้าน ก็มักจะปลูกผักบุ้งผักกระเฉดกัน โดยมากจะทำเป็นแพผักบุ้งหรือแพผักระเฉด ด้วยการนำไม้ไผ่ 2 ลำมาปักเป็นหลักไว้ แล้วทอดไม้ไผ่ล้อม 3 ด้าน อีกด้านหนึ่งเป็นตลิ่ง ผักบุ้งหรือผักกระฉดจะทอดยอดในเนื้อที่ที่กั้นเป็นขอบเขตนี้อย่างสวยงาม แพผักบุ้งและแพผักกระเฉดนี้มีประโยชน์มาก นอกจากจะให้ยอดผักเป็นอาหารแล้ว ยังเป็นที่ทีปลามาอาศัยอยู่มาก ซึ่งทำให้จับปลามาเป็นอาหารได้โดยง่าย ที่ท่าน้ำซึ่งใช้เป็นที่ขึ้นบกลงเรือ ก็มักจะมีศาลาปลูกไว้สำหรับเป็นที่มานั่งพักผ่อน ตัวศาลาท่าน้ำก็มักจะมีร้านต้นไม้ เพื่อให้ไม้เถาเลื้อยขึ้นไปค้าง ออกดอกส่งกลิ่นหอม ไม้เถาดอกหอมที่ชอบปลูกกันได้แก่ ขจร ไม้พันธุ์นี้มีดอกออกเป็นช่อเล็กๆ ดอกสีเหลืองอมเขียว กลิ่นหอมเหมือนกลิ่นข้าวใหม่หรือใบเตย ดอกและลูกอ่อนใช้กินต่างผักได้ นอกจากขจรแล้วก็มี มะลิวัลย์ ซึ่งมีทั้งชนิดดอกหอมแรงและหอมอ่อนๆ กระดังงาจีน กระดังงาเถา หรือการเวก รสสุคนธ์ และชำมะนาด เล็บมือนาง เป็นต้น พื้นที่ดินหลังบ้าน ใกล้ๆกับเรือนครัว มักจะทำเป็นสวนครัวปลูกพืชผักที่ใช้ในการปรุงอาหาร เช่น พริก มะเขือ ขิง ข่า ตะไคร้ โหระพา กะเพรา ฯลฯ และถ้ายังมีที่เหลือก็จะปลูกต้นยาสูบด้วย บริเวณบ้านใด ถ้าหลังบ้านมีแปลงที่ดินกว้างขวาง และเจ้าของบ้านมีกำลังคนพอ ก็จะทำเป็นสวนปลูกกล้วย อ้อย มะม่วง หมาก มะพร้าว ไม้เหล่านี้เป็นไม้เศรษฐกิจ เมื่อได้ผลมาเหลือกินเหลือใช้ภายในครัวเรือนแล้วก็จะนำไปขายได้ การกั้นขอบเขตของบ้านมักจะทำกัน 3 อย่าง คือ อย่างแรก ขุดคูล้อมบริเวณบ้าน อย่างที่สอง จะทำรั้วเรือก ซึ่งเป็นรั้วที่ทำด้วยไม้ซีก ถักด้วยหวายกั้น แต่ก็มักจะใช้เป็นรั้วหน้าบ้านเท่านั้น อย่างที่สาม ปลูกต้นไผ่เป็นแนวกั้น ถ้าตอนใดหลวมก็จะหาเรียวหนามมาสะไว้ การทำเช่นนี้นอกจากจะเป็นการแสดงขอบเขตของบ้านแล้ว ยังป้องกันไม่ให้วัวควายของผู้อื่นมาบุกรุกเข้ามาเพ่นพ่านในบริเวณบ้านอีก ด้วย ไม้ดัด และไม้ญี่ปุ่น คนไทยนิยมเล่นไม้ดัดมาเป็นเวลาช้านานแล้ว กล่าวกันว่าการเล่นไม้ดัดมีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาแล้ว โยได้เริ่มขึ้นจากพระภิกษุสงฆ์ตามพระอารามก่อน แล้วจึงแพร่หลายเข้าไปในรั้วในวังเจ้านาย และตามบ้านราษฎรผู้มีฐานะดี แต่เท่าที่ทราบกันอย่างแน่ชัด ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้มีการใช้ไม่ดัดประดับตกแต่งพระมหาปราสาท พระราชมณเฑียรสถานพระราชอุทยาน ตลอดจนพระลานในพระบรมมหาราชวัง ดังท่านกวีในสมัยนั้นได้พรรณนาไว้ว่า “…. กระถางรุกขเทียบไม้ ดัดดู ดีเอย ….” และ “…. ไม้ดอกไม้ดัดสดื้น เทียบแกล้ง แกล่ถวาย ….” และอีกตอนหนึ่งว่า “…. ไม้ดัดสันทรงเหล่านี้ พุ่มแกล้ง ผจงเขียน ….” ในตอนปลายรัชกาลที่หนึ่งนี้ คราวที่สุนทรภู่ได้เดินทางไปหาบิดาที่บ้านกร่ำ เมืองแกลง ได้แต่งนิราศเมืองแกลงขึ้น ก็ได้มีอยู่ตอนหนึ่ง กล่าวถึงตัวท่านเห็นไม้ตามทางเดินในป่า ซึ่งเป็นพวกที่จะนำมาทำไม้ดัดได้ ก็อยากจะเอามาถวายสมเด็จกรมพระราชวังหลัง กรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ ซึ่งเป็นเจ้านายของท่าน แต่ก็ไม่สามารถจะทำได้ ดังที่บรรยายว่า

เห็นพฤกษาไม่มะค่ามะขามข่อย
ทั้งไทยย้อยยอดโนโคนตะโขง
เหมือนไม้ดัดจัดวางกลางพระโรง
เป็นพุ่มโพรงสาขาน่าเสียดาย
เดินพินิจเหมือนคิดสมบัติบ้า
จะใคร่หาต้นไม้เข้าไปถวาย
นี่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าบรรดาตาย
แสนเสียดายเดินดูจนเพลินไป

ครั้นล่วงมาถึง รัชสมัยสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ปรากฏว่าการเล่นไม้ดัดนิยมกันอย่างกว้างขวาง นับตั้งแต่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมวงสานุวงศ์ พระภิกษุสงฆ์ เรื่อยลงมาจนถึงขุนนาง และสามัญชนผู้มีอันจะกินทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี ซึ่งเชี่ยวชาญนาฏศิลป์ฟ้อนรำ ทรงสนพระทัยการเล่นไม้ดัดเป็นอย่างมาก พระองค์ท่านทรงเล่นไม้ดัดหลายชนิด และทรงโปรดไม้ญี่ปุ่นด้วย เราพอจะแยกไม้ดัดออกเป็นชนิดต่างๆ ได้ดังนี้

1. ไม้ขบวน คือ ไม้ที่มีหุ่นหรือต้นตรงขึ้นไปราว 2-3 ส่วนของลำต้น แล้วดัดให้วกเวียนพลิกแพลง ขึ้นไปอย่างใดก็ได้ แต่เมื่ออวนจนถึงยอดแล้ว ยอดจะต้องชี้ขึ้นตรงกับลำต้นพอดี ไม้ชนิดนี้มีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า “ ไม้ยอดแหลม ”

2. ไม้ฉาก คือ ไม้ที่มีหุ่นเป็นรูปมุมฉาก กิ่งพับเป็นมุมฉาก อาจจะเป็นต้นคู่หรือต้นเดี่ยวก็ได้ มักทำเป็นรูปประแจจีน ซึ่งมีลักษณะวงก้านและจังหวะงดงามดี

3. ไม้หกเหียน คือ ไม้ที่มีหุ่นหักลงดินแล้วกลับขึ้นโดยวนรอบต้นก็ได้หรือไม่วนก็ได้ เมื่อดูรูปทรงแล้วจะคล้ายท่วงท่าของมวยจีน

4. ไม้เขน คือไม้ที่มีกิ่งหันไปในทิศทางต่างๆกัน 3 ทาง คือ กิ่งลงล่าง 1 กิ่ง ไปทางข้าง 1 กิ่ง และขึ้นข้างบนหนึ่งกิ่ง แต่ละกิ่งไม่ควรมรช่อใบมาก และแต่ละช่อควรหันไปในทิศทางต่างกันด้วย และต้องทำยอดให้เอี้ยวกลับไปข้างหลัง ดูประหนึ่งกวางเหลียวหลัง

5. ไม้ป่าข้อม คือไม้ที่มีลำต้นหรือกิ่งงอคดก็ได้ แต่ต้องมีกิ่งรอบหุ่นเป็นพุ่มกลม มีต้นเตี้ย รอบบริเวณรูปทรงของกิ่งคล้ายบาตรคว่ำ มีช่อนับตั้งแต่ 9 ช่อขึ้นไป และช่องไฟต้องสม่ำเสมอกัน

6. ไม้ญี่ปุ่น ไม้ชนิดนี้เราได้อย่างมาจากญี่ปุ่น เข้าใจว่าเริ่มเล่นกันมาตั้งแต่สมันกรุงศรีอยุธยา ไม้แคระของญี่ปุ่นแต่เดิมมีตามธรรมชาติ โดยเหตุที่ญี่ปุ่นมีภูเขามาก ไม้ใหญ่บางชนิดที่เกิดขึ้นตามซอกหิน รากของมันหาอาหารได้ยาก กอรปกับถูกลมพัดกราดอยู่เสมอ จึงไม่มีโอกาสโตได้ และต้องแคระแกร็นอยู่อย่างนั้น ครั้นเมื่อชาวญี่ปุ่นเห็นก็ชอบใจ จูงนำพันธุ์ไม้มาปลูกบังคับไว้ในกระถาง ให้ต้นไม้นั้นแคระ และมีอายุได้นับสิบๆปี ฉะนั้นไม้ญี่ปุ่น ก็คือไม้ที่มีหุ่นย่อส่วนลงมา จากไม้ใหญ่ซึ่งอยู่ตามธรรมชาติ ไม่มีการตกแต่งช่อหรือพุ่มใบแต่อย่างใด หากมีการแต่งก็น้อยมาก ต้องพยายามเลี้ยงไม้ชนิดนี้ให้เป็นไม้แคระแก็รนตามธรรมชาติให้ได้มากที่สุด

7. ไม้กำมะลอ คือไม้ที่มีหุ้นวนเวียนลงพื้นดิน โดยไม่กลับหุ่นเหมือนไม้หกเหียน ยอดของมันจะต้องชี้ลงล่างเสมอ

8. ไม้ตลก คือไม้หัวโต เป็นไม้ชนิดที่เอารากมาทำต้นมีรูปทรงคดงอไม่เข้ารูปใดๆทั้งสิ้น ถ้าหากมีรากโผล่ขึ้นมาให้เห็นและพยุงลำต้นลอยสูงขึ้นมา จนสามารถเห็นได้ว่าส่วนไหนเป็นลำต้นและส่วนไหนเป็นรากแล้ ก็เรียกไม้ชนิดนี้ว่า “ ไม้ตลก “ หรือไม้ แผลงโคน

9. ไม้เอนชาย คือไม้ที่มีหุ่นคล้ายต้นไม้ที่เอนลงไปหาน้ำ ไม่ตั้งตรงเหมือนต้นไม้ธรรมดา ไม้ชนิดนี้นอยมปลูกกับเขามอ เพื่อให้ดูเป็นป่าเขาตามธรรมชาติ นอกจากการแยกไม้ดัดออกเป็นไม้กระถางดังกล่าวแล้ว นักเล่นสมัยก่อนยังนิยมเรียกมไม้ดัด ตามลักษณะการเกิดของลำตัน คือ
- ไม้กอ เป็นไม้ที่มีลำต้นเกิดจากโคนเดียวกัน
-ไม้ตอ เป็นไม้ที่เคยลำต้นใหญ่ แต่ถูกตัดเหลือเป็นตออยู่เหนือพื้นดินพอควร
-ไม้ต้น เป็นไม้ที่มีลำต้นเดียวเท่านั้น ชนิดของไม้ที่นิยมนำมาดัด ส่วนมากนิยมไม้ที่มีเนื้อเหนียวไม่หักง่าย มีใบเล็ก แตกกิ่งก้าน และไม่เจริญเติบโตดีคือเปลี่ยนรูปร่างเร็วนัก เช่น ตะโก ข่อย ชา มะขาม มะนาวเทศ มะสัง ข้าวตอก โมก ฯลฯ ไม้ที่ได้รับความนิยมมากสุดคือไม้ตะโก ทั้งนี้เพราะไม้ชนิดนี้มีอายุยืน ยิ่งแก่ยิ่งงาม มีลักษณะเหมือนไม้ใหญ่ ลำต้นซึ่งมีสีดำจะมีปุ่มตาที่สวยงาม ไม้ดัดที่ดีจะต้องมีหุ่นสวยงาม ช่องไฟเป็นระเบียบ การจัดทำลำต้น กิ่ง ตลอดจนช่อ จะต้องได้รับตามมาตรฐานไม้ดัด

ไม่มีความคิดเห็น: